My living room

Our loss is our gain

Wednesday, August 17, 2005

มุสลิมในประเทศจีน


By: Rosenun Chesof

มุสลิมมักจะเคยรับรู้หรือได้ยินตอนหนึ่งของวจนะท่านศาสดามูฮำหมัดที่กล่าวถึงการแสวงหาความรู้ที่ว่า......

ให้แสวงหาความรู้แม้นว่าต้องไปไกลถึงเมืองจีน” อันแสดงให้เห็นว่าดินแดนจีนนั้น เป็นที่รู้จักและเลื่องลือ มานานแล้วตั้งแต่อดีตและสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของเหล่าบรรดาซอฮาบะห์ของท่านศาสดา ที่ถึงแม้จะห่างไกลจากดินแดนอาหรับ แต่ชนรุ่นนั้นก็สามารถเดินทางไปถึงได้


อิสลามเริ่มเผยแพร่สู่แผ่นดินจีนในสมัยของท่านคาลีฟะห์ Uthman ibn Affan ในปีฮ. ศ. 29
(ค.ศ. 650) หลังจากการเสียชีวิตของท่านศาสดามูฮำหมัด 18 ปี โดยท่านคาลีฟะห์ได้ส่งท่าน Sa'ad ibn Abi Waqqaas ซึ่งเป็นซอฮาบะห์คนหนึ่งของท่านศาสดามูฮำหมัด ไปยังแผ่นดินจีนเพื่อเผยแพร่ศาสนาอิสลาม หลังจากที่ได้เผยแพร่ไปยังดินแดนของอาณาจักรไบเซนไทน์ โรมันและเปอร์เซีย จ
ประสบความสำเร็จมาแล้ว และอิสลามก็ได้รับการต้อนรับจากชาวจีนเป็นอย่างดี ตามที่ปรากฏหลักฐานในพบที่เป็นบันทึกของราชวงศ์ถัง

ในสมัยราชวงศ์ซ้อง (ค.ศ.960-1279) เมื่ออิสลามได้ปักหลักและเผยแพร่ในดินแดนของจีนอย่างแพร่หลายแล้ว การติดต่อค้าขายระหว่างพ่อค้าชาวอาหรับไปยังแผ่นดินจีนก็รุ่งเรืองตามมา ทั้งที่เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมและเส้นทางเดินเรือทางทะเลโดยเดินทางผ่านอินเดียอ้อมมาทางแหลมมลายูและมุ่งสู่แผ่นดินจีนอีกทางหนึ่ง

ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1310-1644) อิสลามได้รับการยอมรับนับถือจากชาวจีนเป็นจำนวนมาก ถือเป็นยุคทองของอิสลามในดินแดนของจีน มีการแต่งงานระหว่างมุสลิมกับชาวฮั่นกันอย่างแพร่หลาย และที่น่าสนใจมีแม่ทัพเรือที่เป็นมุสลิมในสมัยจักรพรรดิ์หย่งเล่อ (ค.ศ.1402-1424) ที่ชื่อแม่ทัพเจิ้งเหอ (ค.ศ.1421) ชื่อเดิมหม่าเหอ ซึ่งเป็นมุสลิมเกิดในตำบลคุนหยาง นครคุนหมิง หยุนหนัน ที่ได้นำกองทัพเรือออกท่องทะเลเยือนดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 30 ประเทศ นับจากเอเชีย อินเดิย แอฟริกา และค้นพบดินแดนแห่งโลกใหม่ คือทวีปอเมริกา ซึ่งปัจจุบันนี้เรื่องราวของแม่ทัพเจิ้งเหอ กลายเป็นทฤษฎีใหม่ในแวดวงวิชาการที่ว่า แม่ทัพเจิ้งเหอเป็นผู้เดินทางรอบโลกและได้ค้นพบทวีปอเมริกาเป็นคนแรกก่อน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส

แต่เมื่อราชวงศ์ชิง(ค.ศ.1644-1911) ซึ่งเป็นชาวแมนจูเข้ามาปกครอง ความเป็นอยู่ของมุสลิมเริ่มมีปัญหา เพราะราชวงศ์ชิงต้องการปราบปรามชนเผ่าต่าง ๆ ให้อ่อนแอ จนไม่คิดที่จะต่อต้านตน โดยยุยงชนเผ่าต่าง ๆให้แตกคอกันและขัดแย้งกับชนเผ่าอื่น ๆ ตามกุศโลบายแบ่งแยกและปกครอง ไม่ว่าจะเป็น ชาวฮั่น ฑิเบต มองโกลและชาวฮุย (มุสลิม) และใช้กองทหารชาวฮั่นปราบปรามมุสลิมอย่างหนักและถูกกระทำเหมือนพลเมืองชั้นสอง

เมื่อราชวงศ์ชิงล่มสลายในปี ค.ศ. 1911 ดร.ซุน ยัด เซ็น เข้ามาบริหารประเทศและนำประเทศจีนเข้าสู่ยุคใหม่ ได้มีนโยบายสำคัญที่จะรวมกลุ่มชนต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้ประเทศจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล และให้สิทธิเสรีภาพต่อชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวมองโกล แมนจู ฑิเบต มุสลิม และชาวฮั่น ทำให้ความเป็นอยู่ของมุสลิมดีขึ้น

ปี ค.ศ. 1953 ฝันร้ายของมุสลิมจีนก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ เหมา เจ๋อ ตุง ทำการปฏิวัติประชาชนและยึดครองประเทศได้สำเร็จ พร้อมกับเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งปฏิเสธการมีอยู่ของทุกศาสนา เห็นว่าศาสนาเป็นยาเสพติดที่ต้องทำลายล้าง และทุกศาสนาเป็นที่ต้องห้าม สร้างความลำบากในการประกอบพิธีทางศาสนาของมุสลิมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะการละหมาดในมัสยิดต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาในอิสลามของมุสลิมหมดลงแต่อย่างใด เพราะแม้จะถูกห้ามละหมาดในมัสยิดและมัสยิดหลายแห่งถูกทำลาย แต่มุสลิมก็สามารถทำอิบาดะห์ที่บ้านได้ ทำให้รอดพ้นจากการสอดแนมและตรวจตราของทหาร Red guardsได้เป็นอย่างดี

นับเป็นเวลากว่า 50 ปี ที่มุสลิมต้องอยู่อย่างลำบาก แต่เมื่อสิ้นประธานเหมา เจ๋อ ตุง และผู้นำจีนยุคหลัง ๆ ได้เปิดประเทศและให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนามากขึ้น อิสลามในประเทศจีนก็ได้เปิดตัวต่อสังคมอีกครั้งและเริ่มเป็นที่รับรู้กันอย่างแพร่หลายว่าในดินแดนหลังม่านไม้ไผ่ และภายใต้กฎหมายที่เคร่งครัดของคอมมิวนิสต์นั้น ศาสนาอิสลามไม่ได้ถูกทำลายลงแต่อย่างใด นั้นเป็นเพราะมุสลิมยังคงมีอีมานที่มั่นคงต่ออัลลอฮ มีตักวาอย่างแรงกล้า ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจใด ๆ ของคอมมิวนิสต์ แม้จะโดนกดขี่และทารุณกรรมอย่างโหดร้ายจากพลพรรคคอมมิวนิสต์ก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้ศรัทธาในอิสลามสั่นคลอนแต่อย่างใด ยังคงมั่นคงในอิสลาม และอีมานที่มั่นคงนี้เองที่เป็นกำแพงขวางกั้นที่แข็งแกร่งช่วยป้องกันลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นอย่างดี ยิ่งกว่าความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองจีนเสียอีก

ปัจจุบันจำนวนประชากรมุสลิมในจีนมีประมาณ 100 ล้านคน ประกอบด้วยหลายเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ดังนี้ ชาวฮุย จะอยู่ทางเหนือในเขต Ningshan ชาว Uighur ที่เป็นเชื้อสายตุรกีจะมีมากใน Kansu และ
ซินเจียง และมีชาว Uygur ที่มีเชื้อสายมาจาก Uighur Uzbek, Kazakh, Kirgiz, Tatar และ Dongshiang ภาษาที่ใช้เป็นภาษา Uighur ซึ่งใช้ตัวอักษรภาษาอาหรับแต่อ่านเป็นภาษาจีน

ในประเทศจีน มีมัสยิดเก่าแก่ 4 แห่งที่สร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง คือมัสยิด Huaisheng Mosque ใน Guangzhou มัสยิด Qingjing Mosque ใน Quanzhou, มัสยิด Xianheng Mosque ใน Yangzhou และมัสยิด Fengh1lang Mosque ใน HangzhOI และจากการสำรวจในปี ค.ศ.1998 พบว่ามีมัสยิดเป็นจำนวน 32,749 แห่ง เฉพาะในซินเจียงมีถึง 23,000 แห่ง

ส่วนในด้านการศึกษาศาสนามี 2 รูปแบบคือ การเรียนที่มัสยิด ที่เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดย Mr.Hu Dengzhou (ค.ศ. 1522-1599) โดยสอนตั้งแต่ระดับต้นแก่เด็ก ๆ ให้อ่านอัลกุรอ่านและฟัรดูอีน และระดับสูงที่สอนทั้ง Iimu al-kalam Ilmu al-tafsir Hadith ชารีอะห์ ปรัชญาซูฟี ภาษาอาหรับ เปอร์เซีย เตอร์กี ใช้เวลาเรียน 6-7 ปี และการศึกษาอีกแบบคือเป็นโรงเรียนสอนศาสนา หรือ Madrasah ซึ่งเป็นการศึกษาสมัยใหม่ แต่มักเป็นโรงเรียนที่อยู่ตามมัสยิดต่าง ๆ เช่นกัน

กว่า 13 ศตวรรษที่อิสลามได้เผยแพร่ในประเทศจีน ผ่านหลายยุคหลายสมัย ทั้งการต้อนรับที่ดีและการกดขี่ เจอทั้งความสุขและความทุกข์ แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ว่า อิสลามไม่ได้เผยแพร่ด้วยคมดาบ อิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติ เพราะในการไปเมืองจีนครั้งแรกของท่านศอฮาบะห์นั้น ท่านไปอย่างฑูตสันติที่นำคำสอนอิสลามตามคำสั่งเสียของท่านศาสดา ให้นำสัจธรรมของอิสลามไปเผยแพร่แก่ชาวโลก โดยไม่เลือกชนชั้นเชื้อชาติ และเวลานี้ก็เป็นที่ประจักษ์ให้เห็นแล้วว่า หากอิสลามเผยแพร่ด้วยคมดาบ เราคงไม่ได้เห็นพี่น้องมุสลิมชาวจีนยังคงหลงเหลืออยู่อย่างมากมายเป็นจำนวนเกือบร้อยล้านคน เฉกเช่นที่ได้เห็นและรับรู้ในปัจจุบันอย่างแน่นอน เพราะคงจะโดนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนสิ้นซากไปนานแล้วจากหลายสมัยที่ผ่านมา


เรียบเรียงจาก

History of Islam in China,available at: http://chinese-school.netfirms.com/Muslims.html

Yusuf Abdul Rahman.Islam in China. available at:http://members.tripod.com/worldupdates/islamintheworld/id3.htm

Islamic Education in China,available at:http://www.islam.org.hk/eng/eIslamInChina30.asp



0 Comments:

Post a Comment

<< Home