My living room

Our loss is our gain

Friday, August 12, 2005

Introduction to Islam (1)



อิสลาม: หลักคำสอน

By:Rosenun Chesof

PhD.Candidate, UUM Malaysia

เกริ่นนำ

อิสลามในสายตาของชาวโลกปัจจุบัน มักจะถูกมองในทางลบมากกว่าในทางบวกทั้ง ๆ ที่ในคำสอนนั้นมุ่งแต่ให้คนทำดีละเว้นความชั่ว เช่นเดียวกับทุกศาสนาในโลกนี้ อิสลามถูกมองว่าเป็นศาสนาแห่งการก่อการร้าย เป็นพวกล้าหลัง กดขี่ทางเพศ ด้อยพัฒนาและไม่ทันสมัย โดยเฉพาะในสายตาของโลกตะวันตกแล้ว หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยา เป็นต้นมา ภาพลักษณ์ของอิสลามยิ่งถูกมองด้วยความเกลียดชังและหวาดระแวง ทั้งที่ผู้ที่ก่อเหตุนั้นจะใช่มุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมหรือเปล่า ก็ยังไม่อาจจับคนร้ายตัวจริงมาได้ นอกจากความสงสัยเท่านั้นว่าคนนั้นทำคนนี้ทำ จนนำไปสู่การก่อสงครามรุกรานประเทศอิสลาม 2 ประเทศ คือ อัฟกานิสถานและอิรัก ก่อความเสียหาย ผู้คนล้มตายนับแสนคน จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่ยุติ และก็ยังไม่อาจจับตัวผู้ที่ถูกสงสัยว่าก่อเหตุการณ์ก่อการร้ายมาได้ ณ ตรงนี้ ผู้เขียนจะไม่กล่าวถึงเบื้องหน้า เบื้องหลังของสงคราม เพราะในเอกสารนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกและโลกอิสลาม

จากภาพลักษณ์ที่สื่อออกมาของอิสลามว่ามีแต่ความรุนแรง จากความไม่เข้าใจว่าอิสลามแท้จริงสอนอะไร จากการที่ถูกมองอย่างหวาดระแวงสงสัย เกิดเป็นแรงดลใจให้ผู้เขียนรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับอิสลามจากการค้นคว้า และจากองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ผู้เขียนมีอยู่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลามว่า อิสลามนั้นคืออะไร สอนอะไร โดยในเบื้องต้นจะกล่าวถึง อิสลามมีพื้นฐานความเชื่ออย่างไร ความหมายของอิสลาม คำสอนของอิสลามโดยสังเขปและหลักจริยธรรมอิสลามที่ควรรู้


หลักการขั้นพื้นฐานของอิสลาม

ในเบื้องต้นมาทำความรู้จักกับศาสนาอิสลามเสียก่อน ว่ามีหลักการขั้นพื้นฐานอย่างไรบ้าง ซึ่งจะเป็นที่มาของหลักปฏิบัติของมุสลิม หลักการดำเนินชีวิต รวมไปถึงหลักการจริยธรรมด้วย พื้นฐานหลักการอิสลามนั้นตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า :

1.อิสลามถือว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงปกครอง และผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าแห่งจักรวาล ทรงสร้างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้ประทานสถานที่พำนักชั่วคราวในอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระองค์ ที่เรารู้จักกันดีคือ “โลก” ให้แก่มนุษย์เป็นที่อยู่อาศัย นอกจากนั้นแล้วพระองค์ยังได้ประทานความสามารถในการคิด การเข้าใจ ตลอดจนอำนาจในการที่จะแยกแยะความถูกออกจากความผิดให้แก่มนุษย์ได้อีกด้วย ขณะเดียวกันมนุษย์ก็ได้รับเสรีภาพในการเลือกเฟ้นและได้รับอำนาจในการที่จะใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในโลกได้ตามความต้องการของมนุษย์ กล่าวโดยสั้น ๆ ก็คือมนุษย์จะได้รับเสรีภาพตามขอบเขต ในขณะเดียวกัน ยังที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดินนี้ ดังที่พระเจ้ากล่าวไว้ความว่า:

“แล้วเราก็ได้แต่งตั้งพวกท่านให้เป็นตัวแทนในแผ่นดิน หลังจากพวกเขาเหล่านั้น เพื่อเราจะดูว่าพวกท่านจะปฏิบัติอย่างไร” (อัลกุรอ่าน, 10:14)

และอีกตอนหนึ่งความว่า :

“พระองค์คือผู้ทรงสร้างสิ่งทั้งมวลในโลกไว้สำหรับพวกเจ้า ภายหลังได้ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า และได้ทำให้มันสมบูรณ์ขึ้นเป็นเจ็ดชั้นฟ้าและพระองค์นั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง” (อัลกุรอ่าน 2:29)

2.ก่อนที่พระเจ้าจะแต่งตั้งมนุษย์ให้มาเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดินนี้ พระองค์ได้ทรงทำให้มนุษย์รู้เป็นที่แจ่มชัดแล้วว่าพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงอภิบาลผู้ทรงบริหารและเป็นพระเจ้าสูงสุด จักรวาลทั้งหมดเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง (รวมทั้งมนุษย์ด้วย) ล้วนยอมจำนนต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว มนุษย์จะต้องไม่คิดว่าตัวเองมีเสรีภาพไปเสียทั้งหมดและจะต้องรู้ว่าโลกนี้ไม่ใช่ที่พักพิงอันถาวรของตน แต่มนุษย์ถูกส่งให้มาอยู่บนโลกนี้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็จะกลับไปหาพระเจ้าของเขาเพื่อรอรับการตัดสินในสิ่งที่เขาได้กระทำไปในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก หนทางที่ถูกต้องสำหรับมนุษย์คือการยอมรับว่าอัลลอฮเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวและมนุษย์ต้องปฏิบัติตามทางนำและคำบัญชาในทุกย่างก้าวของชีวิต

มนุษย์จะต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการตระหนักว่าวันหนึ่งเขาจะต้องถูกตัดสินและวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวของเขาคือ การสร้างความโปรดปรานให้แก่พระเจ้าเพื่อผลสำเร็จในการทดสอบขั้นสุดท้าย การกระทำใดๆที่ตรงกันข้ามกับที่กล่าวมานี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์หลงออกไปนอกทาง แต่ถ้ามนุษย์ปฏิบัติตามแนวทางแห่งคุณธรรมและตามแนวทางของพระองค์ (ซึ่งเขามีอิสระที่จะเลือกและปฏิบัติตาม)แล้ว เขาก็จะประสบความสำเร็จทั้งในโลกนี้และโลกหน้า สำหรับในโลกนี้เขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยความสันติสุขและความพึงพอใจ ส่วนในโลกหน้าเขาจะเป็นผู้มีสิทธิ์ได้อยู่ในสวรรค์อันถาวร แต่ถ้าเขาเลือกที่จะปฏิบัติตามทางอื่น กล่าวคือ ทางที่ไม่ใช่ทางของพระองค์และทางแห่งความชั่วร้าย (ซึ่งเขามีอิสระที่จะเลือกปฏิบัติ) ชีวิตเขาจะมีแต่ความเสื่อมเสียความล้มเหลวในโลกนี้และจะต้องได้พบกับการลงโทษอันยิ่งใหญ่ในสถานที่ที่เรียกว่านรกในโลกหน้า ดังที่พระเจ้ากล่าวไว้ความว่า :

“แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวันและเรือที่วิ่งอยู่ในทะเลพร้อมกับสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มนุษย์ และน้ำที่อัลลอฮได้ทรงให้หลั่งมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้น ด้วยน้ำนั้น หลังจากที่มันตายไปแล้ว และได้ทรงให้สัตว์แต่ละชนิดแพร่สะพัดไปในแผ่นดินและในการให้ลมเปลี่ยนทิศทางและให้เมฆซึ่งถูกกำหนดให้บริการ (แก่โลก) ผันแปรไประหว่างฟากฟ้า และแผ่นดินนั้นแน่นอน ล้วนแต่เป็นสัญญาณนานาประการแก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา” (อัลกุรอ่าน2:164)

3.หลังจากการเตือนดังกล่าวแล้ว พระเจ้าก็ให้มนุษย์คู่แรก (อาดัมและฮาวา) มาบังเกิดขึ้นบนโลกนี้พร้อมกับนำทางการดำเนินชีวิตบนโลก ดังนั้นชีวิตมนุษย์บนโลกนี้จึงมิได้เริ่มต้นด้วยความมืดบอด เพราะมนุษย์ได้รับประทีปส่องทางเดินไปสู่จุดหมายปลายทางมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถือเป็นธรรมนูญการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้นก็คือ อิสลาม ซึ่งหมายถึงยอมจำนนโดยสิ้นเชิงต่อพระองค์ อิสลามเป็นศาสนาที่อาดัมมนุษย์คนแรกได้รับและมอบหมายให้แก่มนุษยชาติทุกคน แต่ต่อมามนุษย์ในรุ่นหลังๆ ค่อยๆห่างหายไปจากวิถีทางที่ถูกต้องและได้รับเอาวิถีทางอื่นที่ผิด ๆ มาปฏิบัติตาม เช่นการตั้งมนุษย์ด้วยกันเองเป็นพระเจ้า และเคารพบูชาเทียบเคียงกับพระเจ้า และทำลายความสันติ ความสงบออกจากชีวิตมนุษย์ด้วยน้ำมือของมนุษย์เอง

4. ถึงแม้ว่ามนุษย์จะหลงออกไปจากทางแห่งสัจธรรม อาจเป็นเพราะไม่สนใจ หรือบิดเบือนหลักการอิสลามหรือแม้กระทั้งทรยศขัดขืนต่อทางนำแห่งพระเจ้าแต่พระองค์ก็ยังไม่ทำลายมนุษย์หรือบังคับพวกเขาให้เข้ามาอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง เพราะการบังคับมนุษย์ให้หันมาในแนวทางที่ถูกต้องจะเป็นการขัดต่อเสรีภาพที่พระองค์ให้ไว้แก่มนุษย์

ดังนั้น พระองค์จึงแต่งตั้งคนที่มีคุณธรรมในบรรดามนุษย์ด้วยกันเอง ให้ทำหน้าที่ตักเตือน และนำทางมาสู่แนวทางที่ถูกต้องในระหว่างที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ บุคคลเหล่านี้เชื่อในพระองค์และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟังต่อพระองค์และเป็นผู้ที่ได้รับการเปิดเผยความจริงจากพระองค์บุคคลเหล่านี้เรียกว่า ศาสดา

5. บรรดาศาสดาเหล่านี้ได้ถูกส่งมายังมนุษย์ในทุกยุคสมัย ในทุกแผ่นดินและในทุก ๆ ประชาชาชาติ เป็นจำนวนนับหมื่นแสนคน แต่ศาสดาทุกคนล้วนแต่นำสาสน์และแนวทางการดำเนินชีวิตเดียวกัน ทุกคนจะมีภารกิจที่เหมือนกัน นั่นคือ การเรียกร้องมนุษย์ไปยังศาสนาอิสลาม เรียกร้องผู้ที่รับทางนำของพระเจ้าให้ดำเนินชีวิตไปตามทางนำนั้น และรวมตัวกันเป็นขบวนการเพื่อสถาปนากฎหมายของพระองค์และขจัดสิ่งเลวร้ายให้หมดไป ดังที่พระเจ้าได้กล่าวไว้ความว่า:

“มนุษย์นั้นเคยเป็นประชาชาติเดียวกันมาก่อน ภายหลังอัลลอฮได้ส่งบรรดานาบี (ศาสดา) มาในฐานะผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือน และได้ทรงประทานคัมภีร์อันกอปรไปด้วยความจริงลงมากับพวกเขาด้วย เพื่อว่าคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างมนุษย์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน และไม่มีใครที่ขัดแย้งในคัมภีร์นั้น นอกจากผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นมาก่อน หลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาในระหว่างพวกเขา แล้วอัลลอฮก็ทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง” (อัลกุรอ่าน2:213)

6. ในที่สุด พระเจ้าได้ส่งท่านศาสดามูฮัมหมัดให้มาเกิดในแผ่นดินอารเบียและมอบหมายให้ท่านปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกับที่ศาสดาคนก่อน ๆ ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จเสร็จสิ้น สาสน์ที่ท่านศาสดามูฮัมหมัดนำมานั้น เป็นสาสน์สำหรับมนุษยชาติทั้งมวล ท่านได้มาฟื้นฟูคำสอนอิสลามและได้นำทางนำของพระองค์มายังมนุษย์อีกครั้งหนึ่งและได้รวมบรรดาผู้ที่ยอมรับสาสน์ของท่านเป็น อุมมะห์ (ประชาชาติหนึ่งเดียว)ที่มีการดำรงชีวิตตามคำสอนอิสลาม และมีหน้าที่เรียกร้องมนุษยชาติมายังหนทางที่ถูกต้องตามที่พระเจ้าได้ทรงวางไว้สำหรับการดำเนินชีวิตของมวลมนุษย์ (อบุล อะลา เมาดูดี,2542:7-9)
ดังที่พระเจ้ากล่าวไว้ความว่า:

และเรา (อัลลอฮ) ไม่ได้ส่งเจ้า (มูฮัมหมัด) มาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อความเมตตาต่อบรรดาโลกทั้งมวล” (อัลกุรอ่าน, 21:107)

0 Comments:

Post a Comment

<< Home